QR CODE : เวปไซด์ไว้เพื่อใช้ข้อมูลได้ในครั้งต่อไปนะจ๊ะ |
คู่มือการเลือกหลอด LED สำหรับผู้บริโภค คู่มือการเลือกหลอด LED สำหรับผู้บริโภค ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ LED ( Light Emitting Diode หรือ ไดโอดเปล่งแสง ) กลายเป็นแหล่งกำเนิดแสงที่มีประสิทธิภาพสูง และมีคุณสมบัติที่โดดเด่นกว่าแหล่งกำเนิดแสงประเภทอื่นๆ เช่น อายุการใช้งานยาวนาน แสงที่ไม่เป็นอันตราย ฯลฯ แต่เนื่องจาก LED มีหลักการทำงานที่แตกต่างจากแหล่งกำเนิดแสงประเภทอื่นๆ การพัฒนาและการผลิตจึงมีความแตกต่าง และทำให้ปัจจุบันเราสามารถพบผลิตภัณฑ์ LED ที่หลากหลาย ทั้งในรุปแบบโคมไฟและหลอดไฟ ที่มีรูปร่าง ขนาด ขั้วหลอด อุปกรณ์ต่อร่วม อาจร่วมไปถึงวิธีการใช้งานที่แตกต่างกันมากมาย หลอด LED ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภคทั่วไปสามารถใช้งานได้ง่ายๆ ประกอบกับคุณสมบัติเด่นข้างต้น หลอดประเภทนี้จึงกำลังเป็นที่สนใจของผู้บริโภคในขณะนี้ แม้ว่าจะมีหลอด LED วางจำหน่ายในท้องตลาดอย่างแพร่หลาย แต่ในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีมาตรฐานควบคุมคุณภาพสำหรับหลอดประเภทนี้ อีกทั้งคุณสมบัติและวิธีการใช้งาน อาจมีความแตกต่างจากหลอดไฟทั่วๆ ไป
สามารถคมไฟฟ้าแสงสว่างแห่งประเทศไทย จึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ และผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด จัดทำเป็นคู่มือฉบับนี้ เพื่อเผยแพร่เป็นความรู้ให้กับผู้บริโภคใช้เป็นแนวทางในการเลือกและใช้หลอด LED ได้อย่างถูกต้อง
โดยเนื้อหาของคู่มือนี้ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์หลอด LED สำหรับใช้ในการส่องสว่างทั่วไป ในรูปทรงต่างๆ ทั้งที่มีรูปทรงมาตรฐาน และไม่มาตรฐาน โดยไม่ครอบคลุมหลอด LED ที่ใช้ในการประดับตกแต่ง - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - หลอด LED ในท้องตลาดปัจจุบันมีความหลากหลาย และอาจทำให้เกิดความสับสนกับ ผู้บริโภค เราจึงสามารถแยกชนิดของหลอด LED อย่างกว้าง ๆ ได้เป็น - หลอด LED รูปทรงมาตรฐาน แบบไม่บังคับทางแสง (Non-directional light) - หลอด LED รูปทรงมาตรฐาน แบบบังคับทิศทาง (Directional light) - หลอด LED รูปทรงไม่มาตรฐาน - หลอด LED รูปร่างท่อตรง (Tube) 1. หลอด LED รูปทรงมาตรฐานแบบไม่บังคับทิศทางแสง (Non-directional light) หมายถึงหลอด LED ที่มีรูปทรงและขั้วหลอดเช่นเดียวกับหลอดทั่วๆ ไป เช่น รูปทรงกลม รูปทรงลูกแพร์ รูปทรงปิงปอง รูปทรงเทียน เป็นต้น มีขั้วที่พบได้ทั่วไป เช่น ขั้วเกลียวขนาด E14 และ E27 หรือขั้วบิดขนาด B22 และมีลักษณะการให้แสงกระจาย (เกือบ) รอบทิศทาง หลอด LED ประเภทนี้มักใช้แทนหลอดไส้หรือหลอดประหยัดทั่วไปได้โดยตรง โดยไม่ใช้อุปกรณ์เสริม 2. หลอด LED รูปทรงมาตรฐาน แบบบังคับทิศทาง (Directional light) หมายถึงหลอด LED ที่มีรูปทรงและขั้วหลอดเช่นเดียวกับหลอดทั่วๆ ไป ที่มีตัวสะท้อนแสงในตัว เช่น หลอดรูปทรงถ้วย (MR) รูปทรงพาร์ (PAR) หรือรูปทรงดอกเห็ด ขั้วหลอดที่พบเห็นได้ทั่วไป เช่น ขั้วเกลียวขนาด E14 และ E27 หรือขั้วเข็มเสียบ ชนิด GU5.3 และ GU10 และมีลักษณะการให้แสงแบบบังคับทิศทาง หลอด LED ประเภทนี้มักใช้แทนหลอดไส้หรือหลอดฮาโลเจนรูปทรงดังกล่าว โดยใช้หลอดฮาโลเจนบางชนิดจำเป็นต้องใช้ร่วมกับหม้อแปลงลดแรงดัน ดังนั้นหลอด LED ที่จะนำมาแทนหลอดฮาโลเจนชนิดนี้ จำเป็นต้องพิจารณาชนิดของ หม้อแปลงที่ใช้ว่าสามารถใช้ร่วมกันได้หรือไม่ 3. หลอด LED รูปทรงไม่มาตรฐาน หมายถึงหลอด LED ที่มีรูปทรงแตกต่างจากหลอดทั่วๆ ไป แต่อาจมีขั้วหลอดเหมือนหรือแตกต่าง และอาจใช้ทดแทนหลอดทั่วไปได้หรือไม่ก็ตาม การใช้หลอดประเภทนี้ต้องมีความระมัดระวัง และจำเป็นต้องสอบถามข้อมูลจากผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย ถึงวิธีการใช้งาน และอุปกรณ์ประกอบ 4. หลอด LED รูปร่างท่อตรง (Tube) หมายถึงหลอด LED ที่มีทรงเป็นท่อตรง ลักษณะเช่นเดียวกับหลอดฟลูออเรสเซนต์ชนิดท่อตรง ซึ่งอาจมีเส้นผ่านศูนย์กลาง ขนาด 8 หุน (T8) หรือขนาด 5 หุน (T5) โดยมีขั้วหลอดเป็นแบบเขี้ยวชนิด G13 (สำหรับหลอดขนาด T8) หรือชนิด G5 (สำหรับหลอดขนาด T5) - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เนื่องจากหลอด LED เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีความแตกต่างจากหลอดไฟทั่วไปที่คุ้นเคย ผู้บริโภคควรมีความรู้ และศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน โดยใช้ขั้นตอนการเลือกซื้อง่าย ๆ ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 พิจารณาโคมไฟที่ใช้ว่าสามารถใส่หลอดชนิดใด มีขั้วรบหลอดเป็นแบบใด และพิจารณาระบบไฟฟ้าว่ามีการต่อวงจรไฟฟ้าเป็นอย่างไร และมีอุปกรณ์ประกอบใดบ้าง (เช่น หม้อแปลง สวิทซ์หรี่ไฟ เป็นต้น) โคมไฟบางรุ่นมีอุปกรณ์ประกอบมาพร้อมกับโคมไฟ หรือบางครั้งติดตั้งแยกไว้ต่างหาก ขั้นตอนที่ 2 เลือกหลอด LED ที่มีรูปทรง ขนาด รวมทั้งขั้วหลอดที่สามารถใส่ในโคมไฟได้ โดยรูปทรง ขนาด และขั้วหลอดควรเป็นไปตามมาตรฐาน พร้อมทั้งศึกษาข้อจำกัดของหลอด LED ซึ่งอาจระบุบนผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ หรือสอบถามจากพนักงาน ว่าสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ประกอบ หรือวงจรไฟฟ้าที่มีอยู่หรือไม่ สามารถปรับหรี่ได้หรือไม่ หรือมีข้อจำกัดใดบ้าง ขั้นตอนที่ 3 พิจารณาคุณภาพของหลอดว่าได้มาตรฐาน หรือสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย และไม่เกิดปัญหาในการใช้งาน ขั้นตอนที่ 4 พิจารณาคุณภาพของแสงว่าใกล้เคียงกับหลอดทั่วไปที่ต้องการใส่แทน หรือเป็นไปอย่างที่ต้องการหรือไม่ โดยพิจารณาจากปริมาณแสง หรือความเข้มของแสง ตามแต่ชนิดของหลอด ลักษณะการกระจายแสงของหลอด สีของแสงและความถูกต้องของสีของวัตถุ ขั้นตอนที่ 5 พิจารณาคุณสมบัติอื่นๆ เช่น กำลังไฟฟ้าที่ใช้ ประสิทธิภาพของหลอด LED อายุการใช้งาน และความคงสว่าง ความคงทนของหลอด LED ความคงเส้นคงวาของสี และปัญหาสีผิดเพี้ยนเมื่อใช้เป็นเวลานาน ประกอบกับการตัดสินใจ เพียงเท่านี้ เราก็สามารถใช้งานหลอด LED ได้อย่างสบายใจและเต็มประสิทธิภาพ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - สัญลักษณ์แสดงข้อมูลอื่นๆ ดังนี้ (เรียงจากซ้าย-ขาว บน-ล่าง) 1. อายุการใช้งาน 15,000 ชั่วโมง 5. ไม่สามารถปรับหรี่แสงได้ 2. ไม่มีสารปรอท 6.สำหรับใช้ภายในอาคารเท่านั้น 3. ไม่มีรังสี UV และ IR 7. ต้องใช้ในโคมไฟเปิด 4. เปิดติดในทันที 8. กรณีใช้กับโคมดาวน์ไลท์ ที่มีขนาดเกินกว่า 3 นิ้วขึ้นไป
***ผู้บริโภคควรใช้วิจารณญาณในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่น่าเชื่อถือ เนื่องจากปัจจุบัน มีสินค้าหลอด LED หลากหลายวางจำหน่ายในท้องตลาด ข้อมูลที่แสงบนผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์เป็นข้อมูลที่ผู้ผลิตจัดทำขึ้นเอง ในขณะที่ยังไม่มีมาตรฐาน และมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
แม้ว่าหลอด LED ส่วนใหญ่จะมีรูปทรงคล้ายกับหลอดทั่วๆ ไปและสามารถใช้ทดแทนกันได้ แต่เพื่อได้แสงสว่างที่มีความปลอดภัยและมีคุณภาพ ในการเลือกใช้หลอด LED ผู้บริโภคควรพิจารณาเกณฑ์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. รูปร่างและขนาดของหลอด LED (Shape and Size) หลอด LED ชนิดที่สามารถนำมาทดแทนหลอดทั่วไปได้ ควรมีรูปทรงมาตรฐาน และขนาดไม่เกินกว่าขนาดของหลอดทั่วไปที่นำมาทดแทน ทั้งนี้เพื่อให้สามารถใส่ในโคมไฟเดิมได้อย่างปลอดภัย รูปทรงมาตรฐานของหลอดทั่วไป ดังนี้
2. ขั้วหลอด LED (Lamp Base) เพื่อให้มีความปลอดภัยในการใช้งาน ขั้วหลอด LED ควรเป็นชนิด และมีขนาดเป็นไปตามมาตรฐาน และสามารถรับแรงดันไฟฟ้าที่ใช้งานได้ ขั้วหลอดที่พบได้ทั่วไป เช่น - ขั้วเกลียว (screw) เช่น E14 หรือ E27 ซึ่งสามารถใช้กับแรงดันไฟฟ้าไม่เกิน 250 โวลต์ กระแสไม่เกิน 2 แอมป์ - ขั้วบิด หรือขั้วเขี้ยว (bayonet) เช่น ชนิด B22d ซึ่งสามารถใช้กับแรงดันไฟฟ้าไม่เกิน 250 โวลต์กระแสไม่เกิน 2 แอมป์ - ขั้วเข็มเสียบ ด้านเดียว เช่น ชนิด G4, GU4 และ GU5.3 ซึ่งไม่สามารถใช้กับแรงดันไฟฟ้าไม่เกิน 50 โวลต์ กระแสไม่เกิน 3 แอมป์ (สำหรับ G4 และ GU4) และไม่เกิน 6 แอมป์ (สำหรับ GU5.3) - ขั้วเข็มบิด ด้านเดียว ชนิด GU10 ซึ่งสามารถใช้กับแรงดันไฟฟ้าไม่เกิน 250 โวลต์ กระแสไม่เกิน 2 แอมป์ - ขั้วเข็มเสียบหรือบิด สองด้าน เช่น ชนิด G13 (ปกติใช้กับหลอดฟลูออเรสเซนต์ T8) และ G5
ตัวอย่างขั้วหลอดมาตรฐาน ที่นิยมใช้มีดังนี้
3. มาตรฐานความปลอดภัย (Safety Standard) เนื่องจากปัจจุบันหลอด LED ยังคงมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา จึงมีหลอด LED เพียงบางชนิดที่มีการกำหนอดมาตรฐานความปลอดภัยของหลอด LED สรุปมาตรฐานความปลอดภัยของหลอด LED ดังนี้
4. ความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Compatibility) เนื่องจากหลอด LED เป็นหลอดที่ใช้อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคซึ่งอาจสร้างสัญญาณรบกวนแม่เหล็กไฟฟ้าต่ออุปกรณ์อื่น หรืออาจถูกรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าจากอุปกรณ์อื่นทำให้เกิดความเสียหายได้ หลอด LED จึงต้องผ่านการทดสอบความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Compatibility) สรุปมาตรฐานความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้าของหลอด LED ดัง
5. ปริมาณแสง (Light Output) เป็นปริมาณที่จะบอกว่าหลอด LED ให้แสงสว่างมากน้อยเพียงใด (ทางเทคนิคเรียกปริมาณนี้ว่าฟลักซ์การส่องสว่าง) มีหน่วยเป็น “ลูเมน (lumen)” ดังนั้นในการเลือกหลอด LED ที่ไม่มีการบังคับทิศทางแสง เพื่อนำไปทดแทนหลอดไฟเดิมทั่วไปจึงต้องเลือกหลอด LED ที่มีค่าลูเมนใกล้เคียงกับหลอดเดิม สรุปค่าลูเมนของหลอดไส้ทั่วไปตามมาตรฐานต่างๆ ดังนี้
6. ความเข้มศูนย์กลางลำแสง (Cemter Beam Intersity) เป็นปริมาณความเข้มของแสงที่ส่องออกไปในทิศทางหนึ่งว่าสามารถส่องไปได้ไกล หรือมีความส่องสว่างเพียงใด มีหน่วยเป็น “แคนเดลา (cd)” ใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาความส่องสว่างจากหลอดที่มีลักษณะบังคับทิศทางแสง ดังนั้น หลอด LED ที่มีการบังคับทิศทางแสง หากต้องการนำไปเปลี่ยนแทนหลอดทั่วไป ควรต้องมีความเข้มแสงใกล้เคียงกับของเดิม ซึ่งสามารถสรุปความเข้มศูนย์กลางลำแสงขั้นต่ำของหลอด LED ชนิดที่มีการบังคับทิศทางแสงเทียบกับหลอดทั่วไปทีพบบ่อย ดังนี้
7. การกระจายแสง (Light Distribution) สำหรับหลอด LED ที่ไม่มีการบังคับทิศทางแสง ซึ่งสามารถใช้แทนหลอดไส้ทั่วไป แต่เนื่องจากหลอด LED ชนิดนี้อาจมีลักษณะการกระจายแสงแตกต่างจากหลอดทั่วไป เช่น หลอดทั่วไปให้แสงรอบด้าน ในขณะที่หลอด LED ให้แสงไม่รอบด้าน ดังนั้นหากนำหลอด LED ไปทดแทนหลอดทั่วไปอาจทำให้แสงเปลี่ยนไป จึงควรต้องพิจารณาลักษณะการกระจายแสงของหลอด สรุปเกณฑ์ลักษณะการกระจายแสงที่กำหนดของมาตรฐานต่างๆ ดังนี้
8. อุณหภูมิสีของแสง (Correlated Color Temperature หรือ CCT) เป็นค่าที่บ่งบอกความขาวของแสงที่ได้จากหลอดไฟ ว่ามีโทนสีเป็นเช่นไร มีหน่วยวัดเป็น “เคลวิน (K)” โดยแสงที่มีค่าเคลวินต่ำจะให้แสงขาวโทนอุ่น เช่น หลอดไส้ให้แสงที่มีอุณหภูมิสีของแสงในช่วง 2700-3000 เคลวิน ในขณะที่แสงที่มีค่าเคลวินสูงจะให้แสงขาวโทนเย็น เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์ตามบ้านจะให้แสงอุณหภูมิสีของแสงในช่วง 5000-6500 เคลวิน เป็นต้น อนึ่งการเรียกอุณหภุมิสีของแสงในลักษณะเป็นกลุ่ม เช่น สีวอร์มไวท์ คูลไวท์ หรือเดย์ไลท์ เป็นต้น เป็นการเรียกกว้างๆ ซึ่งอาจจะเรียกแตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อและผลิตภัณฑ์
สำหรับหลอด LED อาจมีอุณหภูมิสีของแสงให้เลือกหลากหลาย ดังนั้นผู้บริโภคควรเลือกอุณหภูมิสีของแสงให้เหมาะสมกับบรรยากาศที่ต้องการ
9. ความถูกต้องของสีของวัตถุ (Color Rendering)
ดัชนีสีที่ปรากฏ (Color Rendering Index, CRI) ซึ่งเป็นค่าที่บ่งบอกว่าแสงจากหลอดไฟสามารถส่องวัตถุแล้วทำให้เกิดสีเหมือนธรรมชาติได้ดีเพียงใด ดัชนีสีที่ปรากฏจะแบ่งเป็นดัชนีสีที่ปรากฏทั่วไป (Ra) และดัชนีสีที่ปรากฏพิเศษ (R9, R10, R14) สำหรับหลอด LED ซึ่งมักมีปัญหาในการส่องวัตถุสีแดงแล้วไม่สามารถเห็นสีแดงได้ชัดเจน ดังนั้นนอกเหนือจากค่า Ra แล้วบางครั้งยังต้องพิจารณาค่า R9 ซึ่งเป็นค่าที่บ่งบอกความสามารถในการตอบสนองต่อสีแดงด้วย
สรุปเกณฑ์ดัชนีสีที่ปรากฏ ที่กำหนดของมาตรฐานต่างๆ ดังนี้
10. กำลังไฟฟ้าที่ใช้ (Power) เป็นค่าที่บอกว่าหลอดไฟต้องใช้กำลังไฟเท่าใดในการทำงาน ซึ่งมีหน่วยเป็น “วัตต์ (W)” โดยหลอดใดที่มีค่าวัตต์มากคือหลอดที่กินไฟมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นหลอดที่ให้ความสว่างมาก ต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพของหลอดด้วย
11. ประสิทธิภาพของหลอด (Lamp Efficiency) การพิจารณาว่าหลอดใดมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหนจะดูจากค่าที่เรียกว่า “ประสิทธิศักย์ของหลอด” (Lamp Efficiency) มีหน่วยเป็น “ลูเมนต่อวัตต์ (lm/W)” โดยหลอดที่มีค่าประสิทธิศักย์มาก หมายถึงหลอดที่ให้แสงมากในขณะที่กินไฟน้อย ดังนั้นหลอดที่มีค่าประสิทธิศักย์มากก็จะประหยัดได้มากกว่า เมื่อคิดที่ความสว่างเท่าๆ กันกับหลอดที่มีค่าประสิทธิศักย์ต่ำกว่า หรืออาจพิจารณาได้จาค่า “ดัชนีประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency Index)” หรือ EEI ซึ่งหลอดที่มีค่า EEI ต่ำ หมายความว่าเป็นหลอดที่มีประสิทธิภาพสูง สรุปเกณฑ์ประสิทธิศักย์ที่กำหนดของมาตรฐานต่างๆ ดังนี้
12. ค่าตัวประกอบกำลัง (Power Factor) เป็นตัวบอกถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงานว่าหลอดนี้สามารถนำพลังงานที่การไหห้าจ่ายมาให้มาใช้ได้จริงเท่าใด หลอดที่มีค่าตัวประกอบกำลังสูง (สูงสุดคือ 1 หรือ 100%) คือหลอดที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูง สรุปเกณฑ์ค่าตัวประกอบกำลังที่กำหนดของมาตรฐานต่างๆ ดังนี้
13. อายุการใช้งาน และการคงความสว่าง (Lifetime and Lumen Maintenance) อายุการใช้งานของหลอด LED มีความแตกต่างจากอายุการใช้งานของหลอดทั่วไป คือ อายุการใช้งานของหลอด LED จะดูจากจำนวนชั่วโมงที่หลอด LED ยังสามารถคงความสว่างที่ 70% ซึ่งสามารถระบุเป็น (L70) โดยไม่คำนึงว่ามีการชำรุดไปมากน้อยเพียงใด ในขณะที่อายุการใช้งานของหลอดทั่วไปจะดุจากจำนวนชั่วโมงที่หลอดจำนวนครึ่งหนึ่งยังคงทำงานได้ โดยไม่ได้คำนึงว่ามีแสงลดลงไปมากน้อยเพียงใด สรุปเกณฑ์อายุการใช้งาน และการคงความสว่างที่กำหนดของมาตรฐานต่างๆ ดังนี้
14. ความคงทน (Endurance) หลอด LED อาจมีอายุการใช้งานสั้นลงจากที่ระบุอันเนื่องมาจากสาเหตุต่างๆ เช่น การเปิด-ปิดบ่อยๆ การใช้งานที่อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างมาก ดังนั้นหลอด LED ที่ดีจึงควรผ่านการทดสอบด้านความคงทน สรุปเกณฑ์ความคงทนของหลอด LED ที่กำหนดของมาตรฐานต่างๆ ดังนี้
15. ความคงเส้นคงวาของสี (Color Consistency) LED เป็นอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคซึ่งอาจมีความคลาดเคลื่อนในการผลิต ดังนั้น หลอด LED แต่ละหลอดอาจมีสีที่ผิดเพี้ยนกัน ทำให้เกิดความไม่สวยงาม ค่าความคงเส้นคงวาของสีสามารถดูได้จากขนาด MacAdam El-lopses หรือ SDCM (Standard Deviation of Color Matching) ซึ่งถ้ามีค่าน้อยๆ หมายถึงมีความผิดเพี้ยนของสีในละหลอดน้อย (ถ้ามีค่าเท่ากับ 1 เราไม่สามารถมองเห็นความแตกต่างของสีได้) สรุปเกณฑ์ความคงเส้นคงวาของสีที่กำหนดของมาตรฐานต่างๆ ดังนี้
16. ความเปลี่ยนแปลงของสีของแสง (Change of chromaticity) สีของแสงของหลอด LED เมื่อใช้ไปเป้นระยะเวลานานอาจะมีความเปลี่ยนแปลงผิดเพี้ยนจากสีที่ระบุไว้ ตอนเริ่มต้น โดยพิจารณาจาค่า Du’v’ ซึ่งถ้า Du’v’ มีค่ามาก แสดงว่าสีของหลอด LED มีความผิดเพี้ยนไปมาก สรุปเกณฑ์ความเปลี่ยนแปลงของสีของแสงที่กำหนดของมาตรฐานต่างๆ ดังนี้
17. ข้อจำกัดในการใช้งาน (Operating Condition) หลอด LED อาจะมีคุณสมบัติอื่นแตกต่างจากหลอดทั่วไปทำให้มีข้อจำกัดในการใช้งาน ดังนั้นในการเลือกใช้ นอกจากคุณสมบัติข้างต้น ควรพิจารณาข้อจำกัดอื่นๆ เช่น 17.1 ระบบไฟฟ้า เนื่องจากหลอด LED ที่ว่าจำหน่ายในท้องตลาดอาจนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งมีระบบไฟฟ้าแตกต่างจากที่ใช้ในประเทศไทย (ซึ่งใช้ระบบไฟฟ้ากระแสสลับ 230 โวลต์ 50 เฮิร์ตซ์) ดังนั้น หลอด LED จึงต้องระบุระบบไฟฟ้าที่สามารถใช้ได้ สำหรับหลอด LED ที่ไม่สามารถใช้กับวงจรไฟฟ้าเดิมหรือมีข้อควรระวัง ต้องระบุเป็นหมายเหตุ พร้อมทั้งมีคู่มือแนะนำในการต่อวงจรไฟฟ้าที่ชัดเจน 17.2 อุปกรณ์ประกอบ หลอด LED บางชนิดที่มีรูปร่างและขนาดเช่นเดียวกับหลอดทั่วไป แต่ไม่สามารถใช้กับอุปกรณ์ประกอบ (เช่น หม้อแปลง) หรือวงจรไฟฟ้าเดิมของหลอดนั้นๆ ได้ หรือสามารถใช้ได้กับอุปกรณ์ประกอบบางชนิด/รุ่นเท่านั้น หลอด LED เหล่านี้ต้องระบุชนิดของอุปกรณ์ประกอบที่สามารถใช้ได้ไว้บนตัวผลิตภัณฑ์และ/หรือ บรรจุภัณฑ์ไว้อย่างชัดเจน 17.3 ความสามารถในการปรับหรี่แสง (Dimming) หลอด LED บางชนิดสามารถปรับหรี่แสงได้ แต่หลอด LED บางชนิดไม่สามารถปรับหรี่แสงได้ และแม้ในกรณีหลอด LED ที่สามารถปรับหรี่แสงได้ การปรับหรี่แสงยังอาจต้องใช้เทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ที่แต่ต่างจากหลอดทั่วไป ดังนั้น หลอด LED จึงต้องระบุความสามารถในการปรับหรี่แสง และเทคนิค/อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ ไว้บนผลิตภัณฑ์ และ/หรือบรรจุภัณฑ์ไว้อย่างชัดเจน 17.4 ข้อจำกัดอื่นๆ เนื่องจากสมรรถนะของหลอด LED ขึ้นกับประสิทธิภาพ การระบายความร้อนเป็นความสำคัญ ดังนั้น บนผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ควรระบุข้อจำกัดและคำแนะนำในการใช้งานให้ชัดเจน เช่น ลักษณะกรติดตั้งขนาดของโคมไฟที่สามารถใช้ได้ อุณหภูมิสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม เป็นต้น - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เนื่องจาก LED มีลักษณะการให้แสงและคุณสมบัติของแสงแตกต่างจากหลอดชนิดอื่นๆ ในปัจจุบันจึงได้มีกรศึกษาถึงผลกระทบของแสงกับสุขภาพ และความเป้นอยู่มนุษย์ โดนในเรื่องที่เกี่ยวกับ LED มีดังนี้ ความถี่ในการใช้งาน (Operating frequency) หลักการในการทำงานของ LED โดยการใช้ไฟกระแสตรง ดังนั้นหลอด LED จะมีอุปกรณ์แปลงไฟกระแสสลับเป็นไฟกระแสตรง (อาจอยู่ภายในหลอดหรือแยกอยู่ภายนอก) ซึ่งอาจยังเป้นไฟที่มีความถี่อยู่ ความถี่นี่เองที่อาจะทำให้เกิดการกระพริบ (flicker) ของหลอด โดยเฉพาะเมื่อมีการปรับหรี่แสง นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าแสงจาก LED ที่มีความถี่อยู่ในช่วง 0-200 Hz อาจทำให้เกิดความเมื่อยล้าในการมอง และมีปัญหาสุขภาพตามมาในระยะยาวได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการว่าความถี่นี้มีผลต่อสุขภาพรุนแรงมากน้อยเพียงใด จึงมีเพียงบางมาตรฐาน (เช่น Energy Star) ที่ระบุความถี่ใน การใช้งานเป็นหนึ่งในเกณฑ์คุณภาพของหลอด LED ผลด้านความปลอดภัยต่อดวงตา อันเนื่องมาจากแสง (Eye safety) ในแสงที่ได้จากหลอดไฟแต่ละชนิดจะมีส่วนผสมของรังสี/แสงสีต่างๆ ไม่เหมือนกัน โดยรังสีที่เป็นอันตรายต่อดวงตากเช่น รังสีอินฟราเรด รังสีอัลตราไฟโอเลต และแสงสีน้ำเงิน ถือเป็นส่วนที่มีอันตรายต่าดวงตามนุษย์ ในปัจจุบัน มีมาตรฐาน (IEC62471 Photobiological safety of lamps and lamp systems) เพื่อประเมินว่าหลอดต่างๆ เหล่านี้มีปริมาณรังสี/แสงสีที่เป็นอันตรายมากน้อยเพียงใด โดยการวัดปริมาณรังสี/แสงที่ออกมาจากหลอดไฟและจัดประเภทตามกลุ่มระดับความเสี่ยง (Risk Group, RG) โดย - กลุ่มระดับความเสี่ยง 0 (RG-0) ถือเป็นหลอดที่ไม่มีอันตรายต่อดวงตา สามารถใช้งานได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องมีการระบุหมายเหตุบนผลิตภัณฑ์/บรรจุภัณฑ์ - กลุ่มระดับความเสี่ยง 1 (RG-1) ถือเป็นหลอดที่มีความเสี่ยงต่ำสามารถใช้งานได้ปกติ ยกเว้นงานที่ต้องมองเห็นหลอดโดยตรงเวลานาน ไม่จำเป็นต้องมีการระบุหมายเหตุบนผลิตภัณฑ์/บรรจุภัณฑ์ - กลุ่มระดับความเสี่ยง 2 (RG-2) ถือเป็นหลอดที่มีความเสี่ยงปานกลาง แต่ไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรง หากไม่ได้อยู่ในระยะใกล้จนผิดปกติ หรือจ้องมองเป็นเวลานาน จำเป็นต้องมีการระบุหมายเหตุบนผลิตภัณฑ์/บรรจุภัณฑ์ - กลุ่มระดับความเสี่ยง 3 (RG-3) ถือเป็นหลอดที่มีความเสี่ยงสูง แม้ว่ามองเป็นระยะสั้นๆ จำเป็นต้องมีการระบุหมายเหตุบนผลิตภัณฑ์/บรรจุภัณฑ์
สำหรับหลอด LED ที่เรานำมาใช้งานโดยทั่วไป ถือเป็นหลอดที่ไม่มีรังสีอินฟราเรด และรังสีอัลตราไวโอเลต แต่มีส่วนของแสงสีน้ำเงินอยู่ จึงมีโอกาสให้เกิดอันตรายต่อดวงตา อย่างไรก็ตามหลอด LED ส่วนใหม่มีขนาดกำลังไฟไม่สูง จึงมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ (RG-0 หรือ RG-1) และสามารถใช้งานได้ตามปกติ
อธิบายคำศัพท์ ความถูกต้องของสีของวัตถุเมื่อถูกส่องด้วยแหล่งกำเนิดแสงใดๆ หาได้โดยเปรียบเทียบสีที่ปรากฏให้เห็นจองสีตัวอย่างเมื่อถูกส่งด้วยเหล่องกำเนิดแสงอ้างอิงกับแหล่งกำเนิดแสงที่พิจารณา สีตัวอย่างดังกล่าวจะเป็นออกเป็น 2 ชุด ชุดที่ 1 มี 8 สี ใช้หาค่าดัชนีสีที่ปรากฏทั่วไป (Ra ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของค่า R1 ถึง R8) และชุดที่ 2 มี 6 สี ใช้หาค่าดัชนีสีที่ปรากฏพิเศษ (R9, R10, R14) หากสีที่ปรากฏให้เห็นของสีตัวอย่างเมื่อถูกส่องด้วยแหล่งกำเนิดแสงทั้ง 2 เหมือนกัน จะได้ค่าดัชนีสีที่ปรากฏสูงสุดเป็น 100
สำหรับความคงเส้นคงวาของสีของแสงของหลอด LED นั้น พิจารณาได้จากตำแหน่งสีของหลอดแต่ละหลอดว่ากระจายตัวอยู่ใกล้เคียงกันมากน้อยเพียงใด ซึ่งกำหนดด้วยขนาดของ MacAdam Ellipses ดังตัวอย่างในรูป หากตำแหน่งสีของหลอดแต่ละหลอดกระจายตัวอยู่ภายใน MacAdam Ellipses ขนาดเล็ก จะถือว่าหลอดดังกล่าวมีความคงเส้นคงวาของสีของแสงสูง
ลักษณะการกระจายแสงของแหล่งกำเนิดแสง จะถูกระบุด้วยค่ามุมลำแสง (Beam angle) ซึ่งวัดจากแนวที่ค่าความเข้มการส่องสว่างลดลงเหลือ 50% ของค่าความเข้มศูนย์กลางลำแสงทั้งสองด้านรวมกันดังแสดงในรูป เช่นมุมลำแสงขนาด 30 องศา กับ 60 องศา หากส่องเข้าหาผนังในแนวตั้งฉากที่ระยะห่าง 2 เมตร ลำแสงจะครอบคลุมพื้นที่เป็นรูปวงกลมมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดประมาณ 0.35 เมตร กับ 1 เมตร ตามลำดับ
|